top of page

"วัฒนธรรมการอ่าน" ภาพฝันที่เป็นจริง


เพราะการ "อ่านหนังสือได้" กับการ "รักการอ่าน" นั้นแตกต่างกัน

เมื่อผู้ปกครองส่งลูกไปโรงเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลสิ่งแรกที่ทุกคนคาดหวังเหมือนกันและถือเป็นหน้าที่พื้นฐานที่โรงเรียนต้องสอนเด็กก็คือ ให้เด็กอ่านออกเขียนได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในโรงเรียนทั่วไป แต่ที่โรงเรียนแห่งนี้หน้าที่ของครูไม่ได้มีเพียงเท่านั้นเพราะนอกจากสอนให้เด็กอ่านหนังสือออกแล้ว สิ่งสำคัญที่โรงเรียนเน้นย้ำคือนักเรียนต้อง “รักการอ่าน” ด้วย

การสอนให้เด็กอ่านออกนั้นไม่ยาก ใช้เวลาไม่นาน เพียง 1 - 2 เทอมเด็กก็เริ่มอ่านหนังสือออกแล้ว แต่การปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านนั้น ไม่สามารถทำให้จบภายใน 1 ปี หรือ 2 ปี จะต้องทำต่อเนื่องและทำทุกวัน

กิจกรรมหลังเข้าแถวเคารพธงชาติของนักเรียนที่นี่จึงไม่เหมือนที่ไหน เพราะเด็กจะเริ่มต้นด้วยการอ่านวันละ 15 นาที (R15@SCHOOL) ก่อนที่จะแยกย้ายเข้าห้องเรียน ซึ่งเด็กทุกคนจะนำหนังสือเล่มไหนก็ได้ที่ชื่นชอบมานั่งเปิดอ่านไปพร้อมๆ กับครูทุกๆ คน ใช่ค่ะ!!! “ครูทุกคน” นั่งอ่านมันตรงแถวเคารพธงชาติใต้ตึกนั่นแหล่ะ ครูก็อ่านด้วย ทำแบบนี้ทุกวันค่ะ

แล้วสิ่งที่เราเห็นคือเค้าอ่านกันจริงๆ แทบจะไม่มีใครแอบเล่นหรือคุยกันเลย เด็กทุกคนก้มหน้าก้มตาอ่าน ไม่ใช่เพียงแค่เพราะครูไม่อนุญาตให้คุยกัน แต่เพราะเพื่อนๆ ก็อ่านกันหมด หันซ้ายหันขวาทุกคนอ่าน ใครไม่อยากอ่านสุดท้ายก็ต้องก้มหน้าลงไปอ่านอยู่ดี เราชอบตรงที่ ครูก็เตรียมหนังสือของครูมานั่งอ่านไปกับเด็กด้วย มันดีตรงนี้ ลองจินตนาการดูว่า...ถ้าระหว่าง “ครูทุกคนยืนคุมเด็กอ่าน” กับ “ครูทุกคนนั่งอ่านด้วย” นั้น บรรยากาศและความรู้สึกของเด็กจะแตกต่างกันอย่างไร

อีกอย่างที่เราชอบคือการให้อิสระแก่เด็กๆ ในการเลือกที่จะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ แล้วแต่ที่เค้าชอบและอยากอ่าน มันทำให้การอ่านเป็นเรื่องสนุกขึ้น อ่านง่ายขึ้น และเรามองว่าเป็น "ความใส่ใจ" จากครูที่เข้าใจในตัวเด็กว่าแต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกัน เมื่อครูยอมรับความแตกต่างนั้น ให้เกียรติเค้าได้ตัดสินใจ ได้เลือกอะไรด้วยตัวเอง จึงทำให้การอ่านไม่ใช่ยาขมสำหรับเด็ก

เพียง 15 นาทีที่เด็กทำแบบนี้ทุกวัน จะเกิดกระบวนการสั่งสมทักษะที่เยอะมากกกกก นอกจากการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ การสะกดคำ เด็กก็จะอ่านจับใจความได้เร็วขึ้น ลำดับความคิดได้ มีความรู้มากขึ้น เกิดจินตนาการ ได้รู้จักตนเอง เพราะการอ่านทำให้เด็กได้มีเวลาคิดทบทวนและเข้าใจตัวเอง มีสมาธิ สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำได้นานขึ้น มีความอดทน และมีแรงบันดาลใจ

จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นเด็กต้นกล้าหลายๆ คนมีความเป็นตัวของตัวเอง มีจินตนาการ และมีความสามารถในการจับใจความและเรียบเรียงประเด็นได้เป็นอย่างดี (หากได้สัมผัสจะเห็นว่าเด็กๆ ที่นี่มีลักษณะเป็นแบบนี้จริงๆ ค่ะ)

มาถึงห้องสมุดกันบ้าง อย่างแรกเลยคือเราเห็นว่าห้องสมุดที่นี่ไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยมที่มีชั้นวางหนังสือเยอะๆ อย่างที่เราคุ้นเคย แต่เป็นพื้นที่ๆ จัดไว้เพื่อเด็กจริงๆ อยู่ในบริเวณที่เข้าถึงง่าย ไม่ได้ไปหลบซ่อนอยู่ในซอกมุมใดของโรงเรียน ประตูเปิดกว้างเพื่อต้อนรับเด็กๆ บ่งบอกว่าโรงเรียนให้ความสำคัญกับห้องสมุดและต้องการให้เป็นพื้นที่ๆ เด็กได้ใช้กันอย่างเต็มที่ ออกแบบตกแต่งให้เหมาะกับเด็ก มีมุมต่างๆ ให้เด็กนั่งอ่านหนังสือสนุกๆ และปลดปล่อยจินตนาการของเค้า ให้เด็กรู้สึกว่ามันเป็นห้องที่น่าเข้า มันไม่ใช่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนคร่ำเคร่ง

ในช่วงเวลาพักก็จะเห็นเด็กๆ เข้าออกห้องสมุด หยิบหนังสือนู่นนี่มาอ่านเล่น

ภาพที่น่ารักอีกอย่างที่เราบังเอิญเห็นอยู่หลายครั้งคือเด็กนอนเอกเขนกอ่านหนังสืออย่างสบายใจในหลายๆ มุมของห้องสมุด โดยไม่มีครูมาดุ มาไล่เลย ตราบใดที่เด็กไม่รบกวนการอ่านของคนอื่น มันดูเป็นห้องสมุดที่เป็นมิตรกับเด็กมากเลย เห็นแล้วก็สงสัยในใจว่าที่โรงเรียนอื่นจะมีภาพแบบนี้ให้เห็นบ้างมั้ยนะ นี่แหล่ะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนทางเลือกที่คงหาดูไม่ได้ในโรงเรียนทั่วไป และที่แน่ๆ ในโรงเรียนที่เราเติบโตมาไม่มีภาพแบบนี้เลย การเข้าห้องสมุดถือเป็นเรื่องที่...ไม่มีใครทำกัน (ถ้าครูไม่สั่งการบ้านให้ไปค้นคว้าในห้องสมุด)

ไม่เพียงแต่เด็กประถมที่ถูกปลูกฝังให้รักการอ่าน น้องๆ อนุบาลก็เช่นกัน ทุกวันก่อนที่เด็กจะนอนในช่วงบ่าย จะเป็นเวลาอ่านหนังสือ 10 นาที เด็กจะสามารถอ่านหนังสือที่ชื่นชอบได้เช่นกัน ซึ่งเด็กเล็กอาจจะยังอ่านไม่เก่งหรือบางคนยังอ่านไม่ได้ แต่ก็นั่งเปิดดูรูปไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็เป็นการสร้างจินตนาการและเสริมสมาธิให้กับเด็ก และทำให้เด็กคุ้นเคยกับการอ่านตั้งแต่ยังเล็ก

ในบางครั้งครูก็จะอ่านนิทานให้เด็กๆ ฟังในห้องเรียนบ้าง ในห้องสมุดบ้าง หรือแม้แต่บนสนามหญ้า หรือใต้ต้นไม้ (ฮิปมากค่ะ ครูอ่านหนังสือกับเด็กใต้ต้นไม้) เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เด็กๆ ชอบ

อย่างที่บอกว่าการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านนั้น ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และทำทั้งระบบ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน โรงเรียนก็ต้องยกขึ้นมาเป็นเหมือนวาระแห่งชาติ ให้ทุกคนเห็นความสำคัญพอๆ กับการเรียนการสอนในห้องเรียน ครูก็ต้องให้ความร่วมมือ รวมไปถึงผู้ปกครองทางบ้านด้วย อันนี้เรายอมใจโรงเรียนนี้เลยเพราะเห็นเลยว่าโรงเรียนต้องใช้พลังมากๆ เพื่อที่จะเชิญชวนให้ผู้ปกครองร่วมมือและเล็งเห็นความสำคัญของการอ่านไปด้วย เพราะการปลูกฝังเด็กนั้นเป็นหน้าที่่ของโรงเรียนอยู่แล้ว แต่การปลูกฝังผู้ปกครองนี่สิ... จะว่าไปถ้าโรงเรียนไม่หวังดีกับเด็กจริงๆ คงจะไม่เอาเวลามาทุ่มเทให้กับการเชิญชวนผู้ปกครองให้มาร่วมมือกันแบบนี้ เค้าก็คงจะบอกว่า...ฉันสอนเด็กที่โรงเรียนแล้ว ตามหน้าที่ของฉัน ส่วนที่บ้านก็เป็นเรื่องของผู้ปกครอง ถ้าบ้านไหนไม่สอนลูกให้รักการอ่านด้วยโรงเรียนก็ทำอะไรไม่ได้... แบบนี้การบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านในเด็กก็คงจะไม่ได้ผลอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ด้วยเหตุนี้ กิจกรรม Love to Read หรือสัปดาห์รักการอ่านจะถูกจัดขึ้นเพื่อให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของการอ่านและร่วมมือกับโรงเรียนในการส่งเสริมการอ่านของเด็กเมื่ออยู่ที่บ้าน ตลอดสัปดาห์จะมีบรรยากาศของการอ่านอยู่เต็มโรงเรียนไปหมด

มีกิจกรรมน่ารักๆ อย่างเช่น การให้ผู้ปกครองมาอ่านนิทานให้เด็กๆ ฟัง การให้เด็กและผู้ปกครองอ่านหนังสือเสียงเพื่อเปิดในโรงเรียนตลอดสัปดาห์และนำไปบริจาคให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอด

กาดนัดหนังสือมือสองที่ผู้ปกครองและเด็กจะนำหนังสือมาจำหน่ายแลกเปลี่ยนกันอ่าน และกิจกรรมอื่นๆ ในชั้นเรียนของเด็ก รวมถึงการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากวิทยากรผู้มีประสบการณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้จะจัดขึ้นทุกปีเพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการอ่าน

จากการทุ่มเทของโรงเรียนและการร่วมมือของทุกฝ่าย ผลที่ได้ก็คือเด็กๆ ในโรงเรียนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่รักการอ่าน เราจะเห็นเด็กอ่านหนังสือตามมุมต่างๆ ของโรงเรียน ทำให้เห็นว่าที่นี่ เด็กไม่ได้อ่านหนังสือเพราะเป็นหน้าที่ และไม่ได้อ่านเพราะเป็นนิสัย หรือความชอบเท่านั้น แต่การอ่านกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว นี่คือภาพฝันที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนนี้ ถ้าเห็นคำขวัญของโรงเรียนต้นกล้า “เรียนรู้ผ่านการเล่น เน้นวัฒนธรรมการอ่าน ถักสานจินตนาการ สร้างฐานคิดวิทยาศาสตร์ใหม่” เราจะเห็นเลยว่าหัวข้อ “เน้นวัฒนธรรมการอ่าน” ที่อยู่ในคำขวัญนั้น คือสิ่งที่โรงเรียนทำจริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูดสวยๆ เก๋ๆ ที่เอามาใส่ในคำขวัญให้ดูดี แล้วให้เด็กท่องไปวันๆ (ส่วนหัวข้ออื่นๆ ก็เช่นกัน ซึ่งเราจะทยอยเขียนมาให้อ่านกันค่ะ)

ที่น่าชื่นชมคือ แม้จะเป็นสิ่งที่ทำยาก แต่เค้าพยายามทำจนสำเร็จได้ เรากล้าพูดว่าสำเร็จเพราะเราเห็นเลยว่าเด็กที่นี่ชอบอ่านหนังสือ และมีเสียงสะท้อนจากผู้ปกครองหลายท่านว่าลูกชอบอ่านหนังสือ

ทำไมโรงเรียนต้องให้ความสำคัญกับการอ่าน? เพราะความรู้มีอยู่มากมายในหนังสือ และความรู้ใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ ครูคนหนึ่งจะถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กได้มากสุดก็เท่ากับที่ครูรู้ แต่ถ้าครูปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน เด็กจะรู้อะไรอีกมากมายแม้ในเรื่องที่ครูเองก็อาจจะยังไม่รู้

เพราะเค้าไม่ได้ต้องการให้เด็กแค่มาเรียนในโรงเรียนแล้วจบแค่นั้น แต่ให้การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นได้ทุกที่ ตลอดเวลา ตลอดชีวิต

การบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านจึงเป็นเหมือนการดูแลต้นไม้ที่รากของมัน เพราะถ้าเราตัดแต่งกิ่งก้านให้สวยงามแต่รากไม่แข็งแรงต้นไม้ก็จะตายในที่สุด แต่ถ้ารากแข็งแรงต่อให้เจอกับสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากแค่ไหนต้นไม้นั้นก็จะยืนหยัดอยู่ได้

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเด็กแต่ละคนมีความสนใจและความถนัดที่แตกต่างกัน การอ่านจะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เด็กรอบรู้ในเรื่องที่เค้าสนใจจนนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตตามแบบของแต่ละคน

บล๊อกนี้จะมีรูปเยอะหน่อยเพราะรูปเหล่านี้เป็นเหมือนสิ่งยืนยันความสำเร็จ เพราะการวัดความสำเร็จของโรงเรียนไม่ได้เน้นที่ผลลัพท์หรือปลายทาง เช่น เด็กต้องอ่านหนังสือเล่มที่ยากๆ ได้สำเร็จ อ่านได้ปริมาณมากๆ หรือเด็กต้องคว้ารางวัลต่างๆ กลับมาเพื่อขึ้นป้ายโชว์หน้าโรงเรียน แต่มุ่งเน้นที่กระบวนการหรือระหว่างทางที่เด็กอ่าน ว่าการอ่านนั้นได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของเด็ก ในทุกๆ วันเด็กมีความสุขกับการอ่านหนังสือ นี่ต่างหากคือสิ่งที่โรงเรียนสนใจ

ผู้ปกครองหลายๆ ท่านยังสงสัยในแนวทางของโรงเรียนทางเลือกและโรงเรียนต้นกล้า ว่าส่งลูกมาเรียนแล้วลูกจะประสบความสำเร็จไหม เพราะดูเหมือนจะไม่เน้นวิชาการ (แต่จริงๆ แล้วเน้นนะคะ เพียงแต่มีวิธีการเรียนการสอนที่แตกต่างออกไป) แล้วจะสู้เด็กโรงเรียนอื่นได้ไหม จะไปสอบแข่งขันกับใครได้รึเปล่า โตขึ้นจะไปเรียนต่อได้ที่ไหน และคำถามอื่นๆ อีกมากมาย

คำตอบหนึ่งที่โรงเรียนมีให้ก็คือ "Keep Clam and Read a Book" ...ใจเย็นๆ ค่ะ อ่านหนังสือ แล้วทุกอย่างจะดีเองนะคะ

ติดตามอ่านเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับโรงเรียนทางเลือก และโรงเรียนต้นกล้าได้ในบล๊อกและเพจ ครูทางเลือก นะคะ แอดมินยังมีเรื่องราวดีๆ มาฝากอีกมากมายค่ะ

ขอบคุณค่าาา ^___^

Blogger Mayko

bottom of page